22 มี.ค. 64 – นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า หลังจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกคว่ำไปในวาระ 3 แล้ว กลับมีหลายพรรคการเมืองเปลี่ยนแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ยกร่างใหม่ทั้งฉบับ มาเป็นการแก้ไขรายมาตรา
ส่วนตัวเห็นว่าการตั้ง สสร.ขึ้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็ถูกคัดค้านจากพรรคพลังประชารัฐ และสมาชิกวุฒิสภา ที่ผนึกกำลังกันสกัดการแก้ไขรัฐธรรมนูญจนตกไป จนมาถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา แต่มีความเห็นต่างในพรรคร่วมรัฐบาลเช่นกัน โดยพรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะแก้ไขมาตรา 256 เพื่อที่จะปลดล็อกวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 256 หรือในส่วนพรรคฝ่ายค้านก็เห็นควรแก้ไขใน 2 ประเด็นก่อน คือตัดอำนาจ ส.ว.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี กับแก้ไขระบบการเลือกตั้งเป็นใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่มีความขัดแย้งกันในหลายประเด็น จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความสำเร็จได้ ถ้าหากปล่อยให้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองแต่ละพรรคคิดกันไปเอง
“อยากจะเสนอเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นเรื่องที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล จึงควรให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพเสียเอง เป็นผู้เสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมรัฐสภา จะได้เป็นความรับผิดชอบทางการเมือง เพราะเป็นกฎหมายสำคัญของรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบในนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ถ้าจะให้พรรคการเมืองร่วมรัฐบาล เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญกันเองอีก เมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกคว่ำในที่ประชุมรัฐสภา ก็ไม่เห็นมีพรรคการเมืองใดแสดงความรับผิดชอบต่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคการเมืองเป็นผู้เสนอเลย ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับลงมติคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคตัวเองเสนอไป เปรียบเสมือนการเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า เป็นความอัปยศอีกครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย” นายเทพไท ระบุ.