- Line
นครศรีธรรมราช : ผู้ประกอบการรถเมล์ และรถสองแถวสายนครฯ-ทุ่งสง โบ้ยไปมา อ้างต่างถูกเอารัดเอาเปรียบ เป็นปัญหาเรื้อรัง ร้องสื่อช่วย หาเจ้าภาพที่จริงใจเข้าจัดระเบียบ ลดความขัดแย้งเพื่อเดินหน้าทำมาหากิน
สืบเนื่องจากคดีที่นายสมชาย แก้วโสภาค หรือนายหัวดิก คนขับรถเมล์ สายนครฯ-ทุ่งสง อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50/2 ม.1 ต.นาพรุ อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช และนายนาวี ทองมณี อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23 ม.2 ต.ทุ่งโพธิ์ อ.จุฬาภรณ์ คนขับรถสองแถวสายเดียวกัน ได้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทถึงขั้นมีการนำเอาอาวุธปืนออกมาใช้ข่มขู่หวังเอาชีวิตกัน ก่อนที่กลุ่มฝ่ายรถสองแถวที่ได้มีเรื่องกันสามารถแย่งชิงนำเอาอาวุธปืนออกมาจากมือของคนขับรถเมล์มาได้ กันอย่างชุลมุนวุ่นวาย จนต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บ ซึ่งช่วงที่เกิดเหตุเป็นช่วงที่มีผู้คนพลุกพล่าน สร้างความตกอกตกใจให้กับผู้ที่พบเห็น รวมถึงผู้โดยสารที่เป็นนักเรียนที่อยู่ในเหตุการณ์กำลังรอรถกลับบ้าน เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่ 24 มี.ค.2564 ที่บริเวณป้ายรถเมล์สี่แยกหัวถนน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ด้านหน้าห้างทองบูรพาสาขาหัวถนน
เรื่องราวนี้ชักจะบานปลายซึ่งดูแล้วไม่น่าจะจบลงอย่างง่าย ๆ หากงานนี้ไม่มีเจ้าภาพเข้ามาแก้ไขปัญหา เมื่อกลุ่มผู้ประกอบการรถเมล์ และรถสองแถวทั้งสองฝ่ายได้ออกมาร้องเรียนสื่อมวลชน ถึงสาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันในครั้งนี้ ถึงขั้นเกือบเอาชีวิตกัน เพราะต่างฝ่ายต่างนำเอาอาวุธออกมาใช้ต่อสู้ โดยทางฝ่ายคนขับรถเมล์มีปืนเป็นอาวุธ และอ้างว่าฝ่ายรถสองแถวมีมีดเป็นอาวุธ แต่เคราะห์ดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต มีเพียงบาดแผลจากการต่อสู้ขัดขืนกันเล็กน้อยทั้ง 2 ฝ่าย
จากข้อมูลที่ได้มาจากทั้ง 2 ฝ่าย ทราบว่า ผู้ประกอบการขับรถโดยสารทั้ง 2 ประเภท เคยมีเรื่องขัดแย้งกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้งตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง หลัก ๆ มาจากเรื่องของการแย่งชิงผู้โดยสาร ขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างนำข้อมูลมาเสนอต่อสื่อมวลชน โดยต่างฝ่ายต่างโทษกันไปมา จากการถูกเอารัดเอาเปรียบในการรับส่งผู้โดยสาร พร้อมร้องขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง โดยเฉพาะบริษัทนครขนส่ง ที่ได้รับสัมปทานเส้นทางเดินรถสายดังกล่าว เร่งหามาตรการควบคุมดูแล และจัดระเบียบการเดินรถของทั้ง 2 ประเภทอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้มีเหตุทะเลาะวิวาทซ้ำขึ้นมาอีก เพราะครั้งนี้ไม่ใช่เป็นครั้งแรก
ด้านฝ่ายกลุ่มผู้ประกอบการรถเมล์ นำโดยน.ส.อุศณีย์ (เจ๊ณี) คุ้มชัย อายุ 51 ปี ภรรยาของนายสมชาย แก้วโสภาค หรือนายหัวดิก เจ้าของอาวุธปืน พร้อมด้วยนายวิชาญ โมขจันทร์ อายุ 52 ปี,นายอุดร แก้วเพ็งกรอ และเฟอร์รถเมล์คนอื่น ๆ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นความคับแค้นใจของคนขับรถเมล์อย่างเรา ๆ ทุกคน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการปล่อยปละละเลยของบริษัทที่ได้รับสัมปทานเส้นทาง ระหว่างรถร่วมบริการรถเมล์สาย 1843 สายเดียวกันกับรถสองแถว คือสายนครฯ-ทุ่งสง
ไลฟ์สด Ep1 ผู้ประกอบการรถเมล์ร้องสื่อ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1944595129026654&id=100004285561138
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเราถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มคิวรถสองแถวมาตลอด เพราะรถเมล์เรามีคิว วิ่งรถวันละ 4 ขา ไปกลับ 2 เที่ยว มีอัตราค่าโดยสาร 38 บาทต่อคน โดยผู้ประกอบการทุกคนจะเสียค่าเดินรถ (ค่าคิว) ให้กับทางบริษัทเป็นรายเที่ยวในราคา 82.05 สต. รวม 2 เที่ยว เป็นเงินจำนวน 165 บาทต่อวัน และมีเวลารับส่งที่ชัดเจน แต่รถสองแถวไม่มีคิวที่ชัดเจนนึกจะวิ่งเวลาไหนก็ได้ โดยเฉพาะรถหลาว หรือรถที่ถูกกำหนดให้วิ่งมารับผู้โดยสารในตัวเมืองโดยไม่ต้องเข้าในคิว แต่จะถูกกำหนดด้วยเวลาที่ชัดเจน (หากแช่นานจะถูกปรับหากมีการร้องเรียน และเข้าคิวไม่ทัน) แต่ในความเป็นจริงพอถึงช่วงเวลาของรถเมล์ ทางรถสองแถวมักจะวิ่งรับผู้โดยสารตัดหน้ารถเมล์ ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการรถเมล์น้อยในแต่ละเที่ยว อีกทั้งรถสองแถวไม่มีระเบียบในการรับส่งผู้โดยสาร ที่นึกจะวิ่งเวลาไหนก็วิ่ง แต่รถเมล์จะวิ่งเป็นเวลา ก่อนหน้านี้เคยร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง โดยเฉพาะบริษัทนครขนส่ง,ร้องไปยังสารวัตรเดินรถ,จนท.ตร.,ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง รวมถึงกรมการขนส่งทางบก ให้เข้ามาจัดระเบียบ ดูแล และควบคุมการเดินรถอย่างเป็นระบบ ซึ่งร้องเรียนมาตลอดแต่ก็ไม่เป็นผล จนนำมาสู่การเขม่นกันจนเกิดทะเลาะวิวาทกันมาตลอด มาวันนี้ปัญหาได้มาเจอกับตัวเอง มาเจอกับสามี กลายมาเป็นผู้ต้องหา จึงอยากร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน ส่วนคดีความก็ว่ากันไป แต่วันนี้พวกเราได้รวมตัวกันเพื่อต้องการให้แก้ไขปัญหาเรื่องการเดินรถให้ได้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นอีกต่อไปในอนาคต” น.ส.อุศณีย์ กล่าว
ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการรถสองแถวกว่า 30 คน นำโดยนายนาวี และนายปรารถนา ทองมณี สองพี่น้องที่เคยมีปัญหากันกับนายสมชายเจ้าของอาวุธปืน ได้พร้อมใจกันหยุดรับส่งผู้โดยสาร เพื่อเข้าพบกับผู้บริหารบริษัทนครขนส่งตั้งอยู่บริเวณถนนสายสนามกีฬา ทางไปค่ายวชิราวุธ ตรงข้ามศูนย์มูลนิธิใต้เต็กเซี่ยงตึ๊งนครศรีธรรมราช โดยต้องการที่จะร้องขอให้ทางบริษัทซึ่งมีอำนาจในการควบคุมการเดินรถสายดังกล่าว เข้าตรวจสอบควบคุม และจัดระเบียบอย่างเป็นระบบเช่นเดียวกันกับผู้ประกอบการรถเมล์ เพื่อยุติปัญหาข้อพิพาท และการทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงผู้โดยสารกัน แต่ไม่พบผู้บริหารแต่อย่าใด เนื่องจากอยู่ กทม. พบเพียง จนท.ภายใน ซึ่งรับเรื่องไว้ และรับปากว่าจะแจ้งให้ผู้บริหารทราบโดยเร็วที่สุด เพื่อเรียกทั้ง 2 ฝ่ายมาพูดคุยเจรจาตกลงยุติปัญหากัน พร้อมกับหามาตรการเข้าดูแลควบคุมจัดระเบียบต่อไป
ไลฟ์สด Ep2 ผู้ประกอบการรถสองแถวร้องสื่อ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1945409788945188&id=100004285561138&sfnsn=mo
นายปรารถนา ได้ให้ข้อมูลว่า “โดยปกติรถสองแถวจะมีทั้งหมด 30 คันใน 2 ฝั่ง ทุ่งสง 15 คัน นครฯ 15 คัน วิ่งตามเวลาที่บริษัทกำหนด 15 นาที/คัน โดยออกพร้อมกันทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนเรื่องรถหลาวนั้น รถสองแถวเองก็อยู่ในกฎระเบียบเพราะมีข้อกำหนดไว้ชัดเจนในเรื่องของเวลา และค่าปรับ ซึ่งนายหัวรถทุกคนก็ไม่อยากที่จะเสียค่าปรับนั้น เพราะการวิ่งรถทุกวันนี้ก็ไม่เพียงพอต่อปากท้องลูกเมีย โดยเฉพาะค่าคิวในแต่ละเดือนที่จะต้องจ่าย วิ่งหรือไม่วิ่งก็ต้องจ่าย เพราะจากสถานการณ์ต่าง ๆ ในบ้านเมืองที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการทำมาหากิน อย่างโรคโควิด ทำให้มีผู้ใช้บริการน้อยลง น้ำมันที่ขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง จึงอยากร้องขอให้ทางผู้บริหารช่วยเหลือผู้ประกอบการรถสองแถวทุกคัน โดยการลดค่าคิวที่จะต้องเสียในแต่ละเดือนจาก 1,984 บาท ให้เหลือเพียง 1,000 บาท ในขณะที่ค่าโดยสารยังเท่าเดิมในราคา 38 บาท เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย” นายปรารถนากล่าว
ด้านนายนาวี กล่าวว่า ปัญหานี้จบได้ง่าย หากต่างฝ่ายต่างวิ่ง โดยอย่ามากลั่นแกล้งหาเรื่องกันด้วยการฟ้องร้องให้รถสองแถวต้องถูกปรับ ยกตัวอย่างเช่นใช้ผู้โดยสารเป็นเครื่องมือในการเข้าร้องเรียนว่า รถสองแถววิ่งช้าบ้าง เด็กโหนรถอันตรายบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถสอบถามผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ได้เลย รถสองแถวให้บริการ 15 นาที/คัน ตามเวลา และรวดเร็วกว่ารถเมล์ เพราะรถเมล์มีต้นทุนที่มากกว่า รถเมล์มักจะเกินเวลา จอดแช่ป้ายนานเป็นชั่วโมงก็มี อย่างรถของนายสมชายคันที่เกิดเรื่องกับตนเอง จนผู้โดยสารเอือมระอา ร้องเรียนอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเวลาเร่งด่วนอย่างเวลาที่นักเรียนต้องไปเรียนหนังสือ คนส่วนใหญ่จะค่อยไม่ใช้บริการรถเมล์เลย ที่จริงพวกเราไม่อยากจะมาร้องเรียน แต่ปัญหานี้มันเป็นปัญหาที่คาราคาซังมานาน สำหรับเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างตนเองกับนายสมชายนั้น ไม่ติดใจอะไร ให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ขอให้ต่างคนต่างวิ่ง ต่างคนต่างทำมาหากิน ปัญหาก็จะไม่เกิด นายนาวีกล่าว
อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง