- Line
นครศรีธรรมราช : ลูกสาวเจ้าของรีสอร์ท สถานที่เกิดเหตุคดี “ด้ามไม้กวาดทะลวงของลับหญิงหม้าย” วอนสื่ออย่าบิดเบือนความจริง หลังสังคมเข้าใจผิด ธุรกิจได้รับผลกระทบ
วันที่ 26 มีนาคม 2564 ความคืบหน้า คดีการเสียชีวิตของ นางจิราวรรณ (สาวเหลียด) แก้วเพชร อายุ 39 ปี ที่วานนี้ (25 มี.ค. 64) ลูก ๆ และญาติ นำศพกลับมาจัดพิธีทางศาสนา หลังการเปิดเผยผลชันสูตรของแพทย์ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ถึงสาเหตุการเสียชีวิต ที่ไม่ได้มาจากการถูกทำร้ายร่างกาย แต่ยังคงเป็นที่เคลือบแคลงใจของครอบครัวผู้สูญเสียทุกคน
คดีนี้ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ รวมถึงการดำเนินชีวิตของกลุ่มบุคคลทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งกลุ่มครอบครัวของผู้สูญเสีย และกลุ่มครอบครัวของผู้ที่ตกเป็นจำเลยทางสังคม รวมไปถึงบุคคลที่ 3 ซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องมารับผลกระทบอย่างปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือสถานที่พักแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.นาพรุ อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นสถานที่จุดเริ่มต้นของคดี “เมียหลวงใช้ด้ามไม้กวาดทะลวงอวัยวะเพศเมียน้อย” ซึ่งรีสอร์ทยังคงเปิดให้บริการตามปกติ แต่บรรยากาศภายในค่อนข้างเงียบเหงา ห้องพักทุกห้องว่างเปล่า ไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ หลังได้รับผลกระทบจากเหตุที่เกิดขึ้น มีเพียงแม่บ้านกับลูกสาวของเจ้าของรีสอร์ทคอยเฝ้าและให้บริการอยู่
น.ส.ปิยะธิดา บุญกิจ อายุ 18 ปี ลูกสาวของนางสุพรรณี (ไหม) แซ่อู้ 53 ปี เจ้าของรีสอร์ทที่ นายไพบูลย์ คำแพงดี พานางจิราวรรณ แก้วเพชร ไปเข้าพัก ก่อนเกิดเรื่องขึ้น เปิดใจต่อผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้ทางรีสอร์ทได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหนัก ทั้งโดนโจมดีว่ารับสินบนบ้าง โกหกบ้าง รวมถึงสถานที่ไม่มีความปลอดภัย จนส่งผลให้มีผู้มาใช้บริการห้องพักน้อยลง แม้แต่ออกไปภายนอกยังได้ยินคำด่าทอ หยาบ ๆ คาย ๆ ย้อนกลับมา กลายเป็นผู้โชคร้ายมาตั้งแต่ต้น แท้จริงแล้วเราโดนข่มขู่ด้วยซ้ำจากครอบครัวของผู้มาตามหาสามี “ว่าอย่าโกหก ให้บอกความจริงว่าหญิงคนดังกล่าวอยู่ห้องใด” สิ่งที่ถูกเปิดเผยนั้น มาจากการติดตามด้วยระบบติดตามตัวที่ติดอยู่ในรถ (จีพีเอส) ขอยืนยันว่า ข้อมูลทุกอย่างที่ให้ไปกับเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชน เป็นความจริงทั้งหมด ซึ่งทางเราได้ให้ความร่วมมืออยู่ตลอด หวังเพียงว่าข่าวที่ออกไปจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และจะมีการแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะวันแรก ๆ ที่มีการนำเสนอข่าวนั้น ไม่มีสิ่งใดที่เป็นความจริงเลย แต่สุดท้ายผลที่ได้กลับมาคือกระแสตีกลับที่รุนแรง
“รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เพราะสื่อบางช่องบิดเบือนความจริง อยากถามกลับว่า ต้องการตีข่าวเพื่อกระแสเรตติ้งหรืออย่างไร หรืออ่านข่าวเอามัน การที่สื่อออกไปโดยไม่สืบถึงต้นสายปลายเหตุ อยากจะบอกว่ามันส่งผลกระทบให้กับเราอย่างมาก ไม่มีแม้แต่คำขอโทษด้วยซ้ำ เรื่องเช่นนี้คงไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้นกับสถานที่ของตนเองอยู่แล้ว แต่เราได้พยายามให้ความจริงไปเพื่อจะได้เปลี่ยนกระแส เพราะความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น กลับส่งผลกระทบให้กับเราอย่างมาก ลูกค้าก็น้อยลง เพราะเห็นว่าไม่ปลอดภัยบ้าง เปิดเผยข้อมูลบ้าง ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย” น.ส.ปิยะธิดา กล่าว
ด้านนางสุพรรณี (ไหม) แซ่อู้ เจ้าของรีสอร์ท ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ อ.ฉวาง เพื่อจัดเตรียมพิธีไหว้บรรพบุรุษในวันเชงเม้ง วันที่ 28 มี.ค.64 ที่จะถึงนี้ และยังไม่มีกำหนดกลับว่า ที่ผ่านมาไม่เคยปกปิดข้อมูลอะไร ข้อมูลข้อสงสัยทุกอย่างเต็มใจให้ทั้งหมด รวมถึงหลักฐานที่จะเป็นประโยชน์ต่อคดี ตอนนี้รู้สึกเบื่อมาก เพราะสิ่งที่ให้ไป กลับสวนทางกับสิ่งที่ออกมา ประกอบกับมีกระแสด้านลบ ว่าตนเองเข้าข้างฝ่ายเมียหลวง รับเงินรับทองมาในหลักแสนแล้วช่วยปกปิดข้อมูล อยากจะบอกว่าไม่เป็นความจริง ส่วนตัวแล้วไม่เคยรู้จักกับบุคคลทั้ง 2 ฝ่ายมาก่อน ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ที่จะต้องไปให้ความร่วมมือกับใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเราเลย มีหลายประเด็นที่สื่อได้จากเราไป พอผลออกมากลับเป็นอีกอย่าง ทำให้สังคมเข้าใจผิด โซเชียลถล่มอย่างหนัก อย่างภาพภายในห้องที่มีการกล่าวหาว่า ทางรีสอร์ทได้ถ่ายภาพเอาไว้ รวมถึงเป็นผู้เปลี่ยนผ้าขนหนูที่ปกคลุมตัวนางจิราวรรณอยู่นั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ทางรีสอร์ทมีเพียงภาพจากกล้องวงจรปิดภายนอกเท่านั้น ขอให้สื่อช่วยนำไปเสนอด้วย อย่าบิดเบือนความจริง หากสงสัยอะไรถามได้หมดทุกแง่ทุกมุม และสามารถตอบให้ได้หมด
“จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใคร และสื่อไหนที่จะออกมาแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว มีแต่ความเสียหายที่ทิ้งเอาไว้ จนต้องระมัดระวังที่จะต้องให้ข้อมูลอะไรไปกับสื่อ แต่สิ่งที่ได้มากับเหตุการณ์ครั้งนี้ คือ ประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่” นางสุพรรณีกล่าว
น.ส.ปิยะธิดา โพสต์เฟซบุ๊คชี้แจงข้อเท็จจริง
https://www.facebook.com/100002929573210/posts/3692328897541393/?d=n
นอกจากนี้ น.ส.ปิยะธิดา ยังเล่าเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุทั้งหมดให้ฟัง ตามภาพประกอบจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้ โดยืนยันว่าเป็นความจริงทุกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิต ที่กำลังเป็นกระแสสังคมว่าแม่ตนเองรู้เห็นเป็นใจกับทางครอบครัวเมียหลวง ที่ทางเมียหลวงได้นำมาโยนทิ้งทำลายลงท่อระบายน้ำต่อหน้านั้น ขอยืนยันด้วยภาพที่ได้ปรากฏออกไป สิ่งที่แม่เห็นอาจไม่ได้เกิดการจดจำ เนื่องจากยืนคุยโทรศัพท์กับพี่ชาย และยืนคุยกับลูกชายของฝ่ายเมียหลวงอยู่ในเวลาเดียวกัน ขณะที่อีก 3 คนกำลังยืนชุลมุนวุ่นวายกันอยู่ ส่วนเรื่องของชุดชั้นในของผู้เสียชีวิตนั้น ขอยืนยันว่า เป็นเรื่องปกติทางรีสอร์ทจะต้องทำลายทิ้งหากคนที่เข้ามาใช้บริการลืมทิ้งไว้
อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่ลิ้งก์ด้านล่าง