“ประชาธิปัตย์” อาจต้องตั้งรับสถานการณ์ ที่จำนวน ส.ส.ลดลง จนอาจส่งผลต่อสูตรคำนวณเก้าอี้รัฐมนตรี
ภายหลังศาลอาญามีคำพิพากษา “จำคุก” แกนนำและกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) รวม 9 ข้อหาหนักในการชุมนุมไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี2557 ย่อมเป็นแรงกระเพื่อมต่อการปรับครม.ครั้งใหญ่ เมื่อรายชื่อแกนนำ–แนวร่วม กปปส. มีรัฐมนตรีรวมอยู่ถึง 3 คน ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที
โดยหนึ่งในนั้นเป็นรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) คือ “ถาวร เสนเนียม“ รมช.คมนาคม ที่ศาลตัดสินจำคุก 5 ปี ถึงแม้คำพิพากษาจะทำ “ถาวร” พ้นจากตำแหน่งในฝ่ายบริหาร แต่สถานภาพการเป็น ส.ส.สงขลา ของเขายังคงอยู่
เมื่อคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์คดี จึงยังไม่สิ้นสุดสมาชิกภาพร ตามมาตรา 98 (6) ซึ่งบัญญัติว่า ต้องคําพิพากษาให้จําคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล “ถาวร” จึงปลอดภัยไปจนกว่าจะถึงปลายทางการต่อสู้คดี หากศาลพิพากษาให้จำคุกในที่สุด
นอกจากนี้ในส่วนของ ส.ส. คำพิพากษาของศาล ยังตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี โดยเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลย 7 คน ในจำนวนนี้ยังมีชื่อ 2 ส.ส.ประชาธิปัตย์ ประกอบด้วย “ลูกหมี“ ชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร จำคุก 9 ปี 24 เดือน และ “อิสสระ สมชัย” ส.ส.บัญชีรายชื่อจำคุก 7 ปี 16 เดือน โดยเฉพาะชื่อ “อิสสระ สมชัย“ ต้องหลุดเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 11 ทันที
ทำให้ “สจ.เซ้ม“ เสี่ยฟาร์มไก่ชน คนดังปราณบุรี “จักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์” ผู้สมัครลำดับ 26 พรรคประชาธิปัตย์ จะขยับมาเป็น ส.ส.อีกครั้ง หลังจากเคยขึ้นมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ แทน “กรณ์ จาติกวณิช” ที่ลาออกไปตั้งพรรค ช่วง ม.ค.2563 โดย แต่ “จักพันธ์“ ได้เป็นส.ส.เพียง 11 วันก็สะดุดหลุดจากตำแหน่ง เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ประกาศผลคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ใหม่ โดยลดลงจาก 20 เหลือ 19 คน
จำนวน ส.ส.ประชาธิปัตย์ ในขณะนั้น จึงเหลือ 51 คน และเมื่อเกิดเหตุกับ “เทพไท เสนพงศ์“ ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 อีกราย จากคดีพันทุจริตเลือกตั้งนายก อบจ. ทำให้ หายไปอีก 1 และตามมาติดๆ เมื่อ “ชุมพล–อิสสระ” ถูกตัดสิทธิทางการเมืองอีก จึงทำให้ประชาธิปัตย์เหลือ ส.ส.ในสภาในขณะนี้ 48 คน
เวลานี้ สถานการณ์ของประชาธิปัตย์ นอกจากต้องลุยภารกิจเลือกตั้งซ่อมเขต 3 นครศรีธรรมราชแล้ว พื้นที่เขต 1 จ.ชุมพร ก็ยังต้องรอการเลือกตั้งซ่อมใหม่ในชุมพร เขต 1 แทนตำแหน่ง “ชุมพล“
แต่ก็ยังโชคดี ที่อดีตผู้สมัคร ส.ส.ประชาธิปัตย์ 2 ราย แม้จะถูกพิพากษาโทษในคดีนี้ แต่ศาลปราณี รอลงอาญาและไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ได้แก่ “วิทยา แก้วภราดัย“ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 2 ต้องโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 13,333 รอลงอาญา 2 ปีและ “เอกนัฏ พร้อมพันธ์“ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 29 หนองแขม ต้องโทษจำคุก 1 ปีปรับ 13,333 บาท
อีกส่วนที่รอดพ้นความ คำพิพากษาศาลยังได้ “ยกฟ้อง“ 12 จำเลยจากทั้งหมด 39 คน โดยหนึ่งในนั้นมีชื่อ “รังสิมา รอดรัศมี” ส.ส.สมุทรสงคราม เขต 1 และ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย“ ส.ส.ตรัง เขต 2
สำหรับ “กฎเหล็ก“ รัฐธรรมนูญ 2560 ได้กำหนด “คุณสมบัติต้องห้าม” ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีต้องคำพิพากษาคดีอาญาไว้ 2 ส่วน 1.ผู้ที่มีตำแหน่งรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญมาตรา 160 (7) บัญญัติไว้ว่าไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุกแม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ และ 2.ส.ส.ในมาตรา 98(6) บัญญัติไว้ว่าต้องไม่เป็นผู้ต้องคําพิพากษาให้จําคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
ผลพวงของคดีความของรัฐมนตรี ส.ส.และแกนนำพรรค เหล่านี้ย่อมกระทบต่อสถานะของพรรคประชาธิปัตย์ในรัฐบาลอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการปรับ ครม.
หากยึดสูตรคำนวณสัดส่วนรัฐมนตรี 1 เก้าอี้ ต่อจำนวน ส.ส.7 คน ตัวเลขขณะนี้ “ประชาธิปัตย์” จึงมีความเสี่ยงถูกลดโควตาลง จาก 7 เก้าอี้ เหลือ 6 เก้าอี้ และอาจกลายเป็นความชอบธรรมของพรรคอันดับ 2 อย่าง “ภูมิใจไทย” ที่มีโอกาสต่อรองโควตาเพิ่ม หรือขอขยับตำแหน่ง
ดังนั้น การพบปะกันก่อนหน้านี้ ระหว่าง “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กับ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จึงถูกจับจ้องถึงการตกลง หรือต่อรอง ไปยังพรรคแกนนำอย่างพลังประชารัฐ
เมื่อมาถึงจุดนี้ “ประชาธิปัตย์” อาจต้องตั้งรับสถานการณ์ ที่จำนวน ส.ส.ลด จนอาจส่งผลต่อสูตรคำนวณเก้าอี้รัฐมนตรี ง อีกทั้งยังมีกรณีข้อกล่าวหาจากศึกซักฟอกของฝ่ายค้านหมาดๆ ดังนั้นอาจต้องหาทางต่อรองให้เสียเปรียบน้อยที่สุด.