การที่ชาวบ้านมีความรู้สึกที่ดีกับเทพไท ทำให้เขาเองก็ได้ “อานิสงส์” จากงานที่พี่ชายได้ทำเอาไว้ด้วย
หลังจากคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ มีมติส่ง “พงศ์สินธุ์ เสนพงศ์” อดีตรองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครศรีธรรมราช น้องชาย “เทพไท เสนพงศ์” อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช ลงเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่เขต 3 นครศรีธรรมราช กลายเป็นความชัดเจนในขั้นแรก ที่ประชาธิปัตย์(ปชป.)ไว้วางใจให้ตระกูล “เสนพงศ์” รักษาฐานที่มั่นพื้นที่นี้
การเสนอชื่อ “พงศ์สินธุ์” จากผู้เป็นพี่ชาย ไม่เกินความคาดหมาย เพราะตั้งแต่ “เทพไท” รู้ตัวว่ามีโอกาสจะหลุดจาก ส.ส.ได้พาน้องชาย ในฐานะรองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครศรีธรรมราชขณะนั้น ตระเวนแนะนำตัวกับชาวบ้าน ทั้งงานบุญท้องถิ่น ในเขตเลือกตั้ง 4 อำเภอ ทั้งพระพรหม ชะอวด จุฬาภรณ์ และเฉลิมพระเกียรติ มาโดยตลอด
เมื่อย้อนไปดูเส้นทางการเมืองของ“พงศ์สินธุ์” 1 ใน 4 พี่น้องตระกูล “เสนพงศ์” เมื่อปี 2560
“พงศ์สินธุ์” ในฐานะรองนายกเล็กเมือคอน ได้ขยับขึ้นมานั่งรักษาการนายกเทศมนตรีนครศรีธรรมราช แทน “เชาวน์วัศ เสนพงศ์” พี่ชายราวๆ ปีกว่า หลังจากมีคำสั่งหัวหน้า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการตรวจสอบข้อร้องเรียนในการทำงาน จนกระทั่งมีคำสั่งให้เชาวน์วัศกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ตามเดิมเมื่อ 30 ต.ค.2561
จากนั้นเพียง 3 ปี ที่ชื่อ “พงศ์สินธุ์” กลายเป็นทายาทการเมืองที่ “เทพไท” ชิงเปิดตัว ส่งไม้ต่อให้ลงสมัครเลือกตั้งซ่อมในเขต 3 เพื่อรักษาฐานที่มั่นเอาไว้
เหตุที่เทพไทไว้วางใจน้องชาย เพราะประสบการณ์จาก “นักการเมืองท้องถิ่น” ที่คลุกคลีกับชาวบ้านมานานกว่า 20 ปี ถือว่าไม่ใช่น้อยปัจจุบันอายุพงศ์สินธุ์อายุ 52 ปี จบปริญญาตรี คณะมนุษย์ศาสตร์ (สาขาสื่อสารมวลชน และปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ขณะที่ประสบการณ์ทำงานในพรรค เคยเป็นรองประธาน สาขาพรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 นครศรีธรรมราช และที่ใกล้ชิดการเมืองระดับชาติมากที่สุด คือ เป็นผู้ช่วย ส.ส.นครศรีธรรมราช ให้พี่ชาย และงานในคณะกรรมาธิการ(กมธ.) สภาฯ เคยดำรงตำแหน่งเลขานุการประจำ กมธ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเลขานุการใน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ นักวิชาการประจำกมธ.ป้องกันปราบปรามยาเสพติด และใน กมธ.แรงงาน และที่ปรึกษาคณะ กมธ.กฎหมาย ยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน
ส่วนงานในท้องถิ่น พงศ์สินธุ์ ตั้งต้นด้วยตำแหน่งเลขานุการนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช กระทั่งขยับเป็นรองนายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช
“พงศ์สินธุ์” บอกเล่าเส้นทางของเขากับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า 2 ปีที่ผ่านมาที่ “เทพไท” พี่ชายของเขา ลงเลือกตั้งในเขตนี้ สำหรับตัวเขาเองก็ทำงานการเมืองในพื้นที่ควบคู่กันมาตลอด แม้จะอยู่ในการเมืองท้องถิ่น แต่ก็มีประสบการณ์ทำงานเป็น ผู้ช่วย ส.ส.ของพี่ชายก่อนที่จะมาทำงานเทศบาลนคร โดยทำงานทั้ง 2 ส่วนควบคู่กัน ทั้งงานชุมชนและสังคมเมืองมาระยะหนึ่ง เรียกได้ว่า “วิ่งทั้ง 2 พื้นที่”
“พงศ์สินธุ์” บอกอีกว่า เมื่อออกมาจากเทศบาลนคร ก็มาช่วยพี่เทพไทเต็มตัว ตั้งแต่การเดินงานและประสานงาน ส่วนการทำพื้นที้ในส่วนของ ส.ส.จะเป็นรูปแบบความเข้าใจ ความคุ้นเคย ความคุ้นหน้า การไปมาหาสู่กัน ในการร่วมกิจกรรมต่างๆ จึงเชื่อว่าน่าจะได้ใจประชาชนในเขตนี้
“พื้นที่เทศบาล ผมก็จะทำอีกรูปแบบที่ใกล้ชิดเหมือนกัน แต่บ้านประชาชนจะเป็นรั้วรอบขอบชิดมากกว่า ทำให้ผมมั่นใจพื้นที่ทั้ง 2 ด้าน ในการลงสมัครเลือกตั้งครั้งนี้”
ส่วนยุทธศาสตร์หาเสียง เขาเสนอตัวเพื่อต่อยอดสิ่งที่พี่ชายได้เดินหน้าไว้แล้ว ทั้งการเข้าถึง การปลดล็อคพืชกระท่อม หรือการดูแลกลุ่ม อสม.ในการแก้ปัญหาโควิด ชาวบ้านมีความสบายใจ และรู้ว่าเรามาถูกทางแล้ว ในการพูดคุยกับชาวบ้านตรงนี้
พงศ์สินธุ์ ยอมรับว่า การที่ชาวบ้านมีความรู้สึกที่ดีกับเทพไท ทำให้เขาเองก็ได้ “อานิสงส์“ จากงานที่พี่ชายได้ทำเอาไว้ด้วย
“พงศ์สินธุ์” ซึ่งจับหมายเลขเลือกตั้งได้เบอร์ 3 ยังเปิดเผยด้วยว่า จากนี้จะมีแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ สลับกันลงพื้นที่ ซึ่งหัวหน้าพรรคได้กำชับว่า หากใครว่างให้ลงพื้นที่ช่วยหาเสียงในเขตเลือกตั้ง โดยประสานงานมาที่ทีมของเขา เพื่อแบ่งพื้นที่ลงหาเสียง ทั้งในตลาด ชุมชน หรือการปราศรัยบนรถ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในแต่ละจุด ซึ่งจะไม่มีการจัดปราศรัยใหญ่เหมือนสมัยก่อนแล้ว
จากการทำงานคลุกคลีกับชาวบ้าน ดังนั้นแม้จะมีคู่แข่งอย่างพรรคพลังประชารัฐ “พงศ์สินธุ์” ก็มั่นใจ ว่า แม้เวลาหาเสียงจะน้อย แต่การเดินให้มากขึ้น ชาวบ้านก็จะเห็นภาพที่จะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป.