จากนั้นเวลา 16.00 น. ที่รัฐสภา นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช. มหาดไทย ลุกขึ้นชี้แจงเรื่องที่ดินจะนะ ว่า เรื่องที่ดินที่จะนะเป็นเรื่องที่นายประเสริฐพงษ์ ไปเอาข้อมูลมาจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ที่เขาตัดแปะมาให้ท่านก็ดีใจ ซึ่งคดีข้อพิพาทที่ดิน 3 แปลงนั้นไม่ใช่เพิ่งมีคดี แต่ได้นำเรื่องไปร้องที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมาแล้ว และบัดนี้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้แจ้งเรื่องดังกล่าวมาที่อธิบดีกรมที่ดิน เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2563 โดยวินิจฉัยว่า ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว กรณีร้องเรียนศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน จ.สงขลา จ.นครศรีธรรมราช ดำเนินการรังวัดเพื่ออกโฉนดที่ดินจำนวน 3 แปลง ทับซ้อนกับที่ดินบริเวณที่ถูกร้องเรียนครอบครองทำประโยชน์นั้น
ข้อเท็จจริงพบว่า บริษัท ทีพีไอ โพลีนเพาวเวอร์ จำกัด มหาชน เป็นผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองตามหลักฐานหนังสือทำประโยชน์ นส.3ก ในพื้นที่ จ.สงขลา และจากการที่ศูนย์ฯ จ.นครศรีธรรมราช จัดรูปแปลงโฉนดที่ดิน ผลของการรังวัดปรากฏว่าหนังสือรับรองสิทธิการทำประโยชน์ นส.3ก ทั้ง 3 แปลงตั้งอยู่บริเวณที่ดินของผู้ร้องครอบครอง จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน และปัจจุบันโครงการเดินสำรวจได้สิ้นสุดโครงการไปแล้ว และได้มอบงานต่อให้สำนักงานที่ดิน จ.สงจลา สาขาจะนะดำเนินการต่อ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน และเอกสาร และยังไม่มีการออกโฉนดที่ดินตามโครงการเดินสำรวจตามที่มีการคัดค้านแต่อย่างใด จึงเห็นว่าศูนย์ฯ ได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินจึงเห็นควรยุติเรื่องร้องเรียนดังกล่าว
นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นเรื่องที่นำมากล่าวหาตนใช้อำนาจหน้าที่และมีการกล่าวหาว่าเอาที่ดินของประชาชนไปใช้ประโยชน์ถือเป็นการกล่าวหาเท็จทั้งสิ้น เพราะเป็นการพิพาทกันระหว่างสิทธิครอบครองที่ดิน ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และเจ้าหน้าที่ที่ดินก็ต้องให้คนที่มี นส.3ก มากกว่าคนที่ไม่มีเอกสารอะไรเลยว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นของเขา คนที่ไม่เห็นด้วยก็เอาเรื่องไปฟ้องศาล ซึ่งเป็นเรื่องปกติทางแพ่ง แต่ผู้อภิปรายกับปะติดปะต่อ จับแพะชนแกะ แล้วแปะเอกสารมาว่าตน ทั้งนี้ ตนได้ขอเอกสารจากสำนักงานที่ดินมาแล้วว่าเรื่องนี้มีการพิพาทกันอยู่ และบริษัทเอกชนก็ไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุก ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับตน และเอกสารที่เป็นข้อพิพาทออกตั้งแต่ปี 2517 มีการโอนกรรมสิทธิ์มาต่อเนื่องเป็นเรื่องปกติของการซื้อขายที่ดิน แล้วจะมาบอกว่าตนรังแกชาวบ้านได้อย่างไร
ซึ่งข้อมูลที่นายประเสริฐพงษ์ นำมาอภิปรายไม่เป็นความจริง ส่วนที่กล่าวหาว่าตนไปสนิทกับเจ้าหน้าที่ที่ดิน แล้วเอื้อประโยชน์พวกพ้อง ตนยืนยันว่าแปลงที่เจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดมีญาติพี่น้องที่จะได้รับจากการสำรวจอะไรหรือไม่ไม่เกี่ยวอะไรกับตนและไม่จริง ที่จะให้เจ้าหน้าที่ที่ดินจัดสรรที่ดินให้คนสนิท เพราะเขามาเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดิน จ.สงขลา ก่อนที่ตนจะเป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และคนเป็นนายกอบจ. จะไปย้ายที่ดินจังหวัดได้อย่างไร นายประเสริฐพงษ์พูดเสมือนว่าตนใช้อำนาจหน้าที่ย้ายเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดเพื่อพวกพ้องตัวเอง และกล่าวหาว่าตนประกาศเขตสำรวจออกโฉลดที่ดินจังหวัดเพื่อพวกพ้องตนเอง ทั้งนี้ ยอมรับว่าที่ดินจังหวัดเป็นคนอำเภอจะนะ แต่มาเป็นก่อนที่ตนจะมาเป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และตนก็เป็นคนพื้นที่จึงรู้เรื่องทั้งหมดว่าใครเป็นยังไง และญาติที่ดินจังหวัดออกเอกสารสิทธิก็ไม่ได้อาศัยคำประกาศของตน แต่อาศัยคำประกาศของกระทรวงมหาดไทย และคำประกาศของกระทรวงก็ไม่ได้มีแค่พื้นที่ที่กล่าวอ้าง ถือว่าท่านโกหกกลางสภาฯ ใช้เอกสารไม่จริง จงใจให้ประชาชนเข้าใจผิด ดังนั้น นายประเสริฐพงษ์ต้องดูเอกสารให้รอบคอบกว่านี้
“ผมเป็นผู้แทนราษฎรมา 8 สมัย 25 ปี ไม่ใช้เอกสารทำนองนี้มาอภิปรายในสภาฯ และที่บอกว่าออกเอกสารเอาไปขายนายทุนก็ขอให้ไปดูเอกสารทั้ง 7 แปลงว่าเขาออกโดยชอบ ไม่ได้ออกรุกล้ำพื้นที่สาธารณะ ถ้าผมตรวจเจอว่าออกรุกล้ำที่สาธารณะจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับเจ้าหน้าที่ทุกคน แต่ถ้าเป็นสิทธิชอบธรรมที่เขาควรจะได้เขาต้องได้ ผมยืนยันว่านโยบายการเดินออกสำรวจที่ดิน เป็นนโยบายที่ประชาชนพอใจ เพราะการได้โฉนดเป็นความมั่นคงในทรัพย์สินและชีวิต ขอให้มั่นใจได้ว่าไม่มีการเอื้อประโยชน์ในการออกโฉนดและไปขายให้นายทุนไม่จริง” นายนิพนธ์ กล่าว
นายนิพนธ์ ยังกล่าวชี้แจงเรื่องเงินอุดหนุนกีฬา เรื่องนี้เป็นข้อโต้แย้งกันมากว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถอุดหนุนเงินให้สมาคมกีฬาได้หรือไม่ จนมีการเอาเรื่องนี้ไปร้อง ป.ป.ช. และป.ป.ช.ก็มีหนังสือชี้แจงไปยังผู้ร้องและ จ.สงขลา และจังหวัด แจ้งมายังตนเมื่อวันที่ 21 ม.ค.64 ว่าคณะอนุกรรมการกลี่นกรองเรื่องกล่าวหาประจำภาค 9 ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นเพียงการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกฎหมายดังกล่าวเท่านั้น มิใช่เป็นเรื่องทุจริต ต่อหน้าที่แต่อย่างใด จึงมีมติส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งดำเนินการทางวินัยต่อไป เรื่องนี้ ป.ป.ช.ชี้แล้วว่าไม่มีการทุจริต ส่วนจะผิดระเบียบหรือไม่ก็ไปว่ากัน ซึ่งเรื่องนี้ต้องโต้แย้งอีกมากว่าอันไหนเบิกได้ ซึ่งมีข้อโต้แยงว่าเมื่อ อบจ.ให้เงินอุดหนุนสมาคมกีฬา ซึ่งสมาคมกีฬาใช้ระเบียบการกีฬาประเทศไทย ซึ่งอาจจะต่างจากระเบียบของกระทรวงมหาดไทย ดังนั้นเรื่องโต้แย้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็เป็นเรื่องปกติ หากไม่ได้ข้อยุติ การวินิจฉัย ก็เป็นคำสั่งทางปกครอง นำไปสู่การนำคดีไปฟ้องศาลปกครองว่าต้องรับผิดทางละเมิดหรือไม่ หรือใครต้องรับผิด ซึ่งกระบวนการก็ดำเนินไปโดยผลของกฎหมายอีกยาวไกล แต่ตนยืนยันว่าไม่ทุจริตอย่างแน่นอน ส่วนข้อกล่าวหาไม่จ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงทางเอนกประสงค์ ซึ่งตนได้ชี้แจงไปหลายรอบแล้ว และตนไม่มีเจตนาป็นอย่างอื่น นอกจากเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินเท่านั้น เพราะหลังจากที่ตนเข้าไปรับตำแหน่งนายกฯ อบจ.สงขลา และก่อนหน้าที่ตนจะไปรับตำแหน่ง ผู้บริหารชุดเก่าก็ได้สั่งซื้อรถซ่อมบำรุงฯแล้ว และขณะนี้เรื่องอยู่ในป.ป.ช. ดังนั้น หากตนจ่ายเงินแล้ว ป.ป.ช. บอกว่าผิด ตนก็จะกลายเป็นคนมีความผิดด้วย จึงต้องรอคำตัดสินก่อน.